ใบงานที่ 8
เก็บข้อมูลสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
1.
ชื่อต้นไม้ : หูกวาง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Terminalia
catappa L.
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
: ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8–28 ม. เปลือกเรียบ
เรือนยอดแผ่กว้างในแนวราบ กิ่งแตกรอบลำต้นตามแนวนอนเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร
ใบ ใบเรียงเวียนสลับถี่ตอนปลายกิ่ง ใบเดี่ยวรูปไข่กลับ กว้าง 8-15 ซม. ยาว 12-25 ซม. โคนใบสอบแคบเว้า มีต่อม 1
คู่ ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆ เนื้อใบหนา
เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีส้มแดง
ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบ ขนาดเล็ก สีขาวนวล มีลักษณะเป็นแท่ง ยาว 8-12 ซม. มีดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกสมบูรณ์เพศอยู่บริเวณโคนช่อ
กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก
ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้ 10 อัน
ผล รูปรีค่อนข้างแบนทางด้านข้าง ยาว 3-7 ซม. ผลสีแดงเหลืองหรือเขียว เมื่อแห้งสีดำคล้ำสรรพคุณ : เนื้อใน
เมล็ดรับประทานได้ ทั้งยังนำเอาไปทำน้ำมัน
เพื่อใช้บริโภคและทำเครื่องสำอางได้
นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย
หูกวางเป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันมากในปัจจุบัน เพื่อเป็นไม้ประดับตามข้างทางในประเทศไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ นอกจากนี้แล้วไม้ชนิดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างด้วยกันคือ
1. เนื้อไม้ ใช้ในการก่อสร้างได้ดี เพราะเป็นไม้ที่มอดและแมลงไม่รบกวาน
2. ใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร (ก่องกานดา,2528) ทั้งต้น เป็นยาสมาน แก้ไข้ท้องร่วง บิด ยาระบาย ขับน้ำนม แก้โรคคุททะราด ราก ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ เปลือก มีรสฝาดใช้เป็นยาขับลม สมานแผล แก้ท้องเสีย ตกขาว โรคโกโนเรีย ใบ ใช้เป็นยาขับเหงื่อ แก้ท่อนซิลอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและตับ ใบที่แดงเป็นยาขับพยาธิ ผสมน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดรักษาโรคเรื้อน ทาหน้าอก แก้อาการเจ็บหน้าอก ทาไขข้อและส่วนของร่างกายที่หมดความรู้สึก ผลใช้เป็นยาถ่าย
3. ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมบางอย่าง คือ เปลือกและผล มีสารฝาดมากสามารถใช้ในอุตสาหกรรมย้อนสีผ้าได้ ฟอกหนังสัตว์ ทำหมึก
4. การใช้ประโยชน์อื่น ๆ เนื้อใน เมล็ดรับประทานได้ ทั้งยังนำเอาไปทำน้ำมัน เพื่อใช้บริโภคและทำเครื่องสำอางได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย อ้อ...และใบหูกวางแห้งก็มีสารแทนนินที่ทำให้สภาพน้ำเหมาะสมกับการใช้เลี้ยงปลากัด
ใบ ใบเรียงเวียนสลับถี่ตอนปลายกิ่ง ใบเดี่ยวรูปไข่กลับ กว้าง 8-
ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบ ขนาดเล็ก สีขาวนวล มีลักษณะเป็นแท่ง ยาว 8-
ผล รูปรีค่อนข้างแบนทางด้านข้าง ยาว 3-
หูกวางเป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันมากในปัจจุบัน เพื่อเป็นไม้ประดับตามข้างทางในประเทศไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ นอกจากนี้แล้วไม้ชนิดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างด้วยกันคือ
1. เนื้อไม้ ใช้ในการก่อสร้างได้ดี เพราะเป็นไม้ที่มอดและแมลงไม่รบกวาน
2. ใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร (ก่องกานดา,2528) ทั้งต้น เป็นยาสมาน แก้ไข้ท้องร่วง บิด ยาระบาย ขับน้ำนม แก้โรคคุททะราด ราก ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ เปลือก มีรสฝาดใช้เป็นยาขับลม สมานแผล แก้ท้องเสีย ตกขาว โรคโกโนเรีย ใบ ใช้เป็นยาขับเหงื่อ แก้ท่อนซิลอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและตับ ใบที่แดงเป็นยาขับพยาธิ ผสมน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดรักษาโรคเรื้อน ทาหน้าอก แก้อาการเจ็บหน้าอก ทาไขข้อและส่วนของร่างกายที่หมดความรู้สึก ผลใช้เป็นยาถ่าย
3. ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมบางอย่าง คือ เปลือกและผล มีสารฝาดมากสามารถใช้ในอุตสาหกรรมย้อนสีผ้าได้ ฟอกหนังสัตว์ ทำหมึก
4. การใช้ประโยชน์อื่น ๆ เนื้อใน เมล็ดรับประทานได้ ทั้งยังนำเอาไปทำน้ำมัน เพื่อใช้บริโภคและทำเครื่องสำอางได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอีกด้วย อ้อ...และใบหูกวางแห้งก็มีสารแทนนินที่ทำให้สภาพน้ำเหมาะสมกับการใช้เลี้ยงปลากัด
ข้อมูลอ้างอิง : http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/plants/webcontent3/interactive_key/key/describ/hukwang.htm
ภาพประกอบ
2.ชื่อต้นไม้ :มะฮอกกานี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Swietenia macrophylla
King
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้นขนาดกลางอมเหลืองหรือแดงเข้ม เนื้อละเอียดเหนียว
ลวดลายสวยงาม เมื่อแห้งจะมีแถบแววสีทองขวางเส้นถึงขนาดใหญ่
สูง 15 - 25 เมตร ผลัดใบ
เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกระบอก ทรงพุ่มทึบ
ลำต้นเปลาตรง เนื้อไม้สีน้ำตาลไม้
เนื้อไม้แข็ง มีคุณภาพดี สามารถใสกบและตกแต่งได้ง่าย ยึดตะปูได้ดี
คุณภาพใกล้เคียงกับไม้สัก ทนทานต่อการเข้าทำลายของปลวก
เมล็ดรสขมมาก
เปลือก สีน้ำตาลอมเทา หนาขรุขระ แตกเป็นร่องตามทางยาวของลำต้น และหลุดลอกออกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเวียนสลับ มีใบย่อย 3 - 4 คู่ ออกตรงกันข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 5 - 6 เซนติเมตร ยาว 11 - 17 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบแผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง ก้านใบย่อยยาว 0.3 -0.5 เซนติเมตร
ดอก สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองแกมเขียว ขนาดเล็ก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เมื่อบานเต็มที่กว้าง 0.5 - 1.0 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นรูปแจกัน สีแดง ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแผ่แบนคล้ายร่ม
ผล ผลเดี่ยวขนาดใหญ่ กลม รูปไข่ ปลายมนเป็นพูตื้น ๆ สีน้ำตาล เปลือกหนาและแข็ง กว้าง 7 -12 เซนติเมตร
ยาว 10 - 16 เซนติเมตร ก้านผลแข็ง
เมื่อแก่แตกออกเป็น 5 พู ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
เมล็ด แห้งสีน้ำตาล แบนบาง มีปีกบาง ๆ กว้าง 1.0-1.2 เซนติเมตร ยาว 5.0-5.5 เซนติเมตร ปลิวไปตามลมได้
ประโยชน์ เนื้อไม้ทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี และเครื่องใช้อื่น ๆ เปลือกต้นต้มเป็นยาเจริญอาหาร มีแทนนินมาก รสฝาด ใช้เป็นยาสมานแผล ยาแก้ไข้ เนื้อในฝักเป็นยาระบาย เนื้อในเมล็ดมีรสขมมาก ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ไข้พิษ และปวดศีรษะ ใบอ่อนและดอกรับประทานได้
เปลือก สีน้ำตาลอมเทา หนาขรุขระ แตกเป็นร่องตามทางยาวของลำต้น และหลุดลอกออกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเวียนสลับ มีใบย่อย 3 - 4 คู่ ออกตรงกันข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 5 - 6 เซนติเมตร ยาว 11 - 17 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบแผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง ก้านใบย่อยยาว 0.3 -
ดอก สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองแกมเขียว ขนาดเล็ก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เมื่อบานเต็มที่กว้าง 0.5 - 1.0 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นรูปแจกัน สีแดง ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแผ่แบนคล้ายร่ม
ผล ผลเดี่ยวขนาดใหญ่ กลม รูปไข่ ปลายมนเป็นพูตื้น ๆ สีน้ำตาล เปลือกหนาและแข็ง กว้าง 7 -
เมล็ด แห้งสีน้ำตาล แบนบาง มีปีกบาง ๆ กว้าง 1.0-
ประโยชน์ เนื้อไม้ทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี และเครื่องใช้อื่น ๆ เปลือกต้นต้มเป็นยาเจริญอาหาร มีแทนนินมาก รสฝาด ใช้เป็นยาสมานแผล ยาแก้ไข้ เนื้อในฝักเป็นยาระบาย เนื้อในเมล็ดมีรสขมมาก ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ไข้พิษ และปวดศีรษะ ใบอ่อนและดอกรับประทานได้
สรรพคุณ
: ปลือกต้น - ใช้เป็นยาแก้ไข้ เจริญอาหาร
ข้อมูลอ้างอิง
: http://www.
herb-health.com/2013/01/blog-post_22.html
ภาพประกอบ
3.
ชื่อต้นไม้ : ราชพฤกษ์ (คูณ)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Cassia fistula L
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้น ผลัดใบ
สูง 8 - 15 เมตร ใบประกอบ
แบบขนนกปลายคู่เรียงสลับ มีใบย่อย 3 - 8 คู่ แผ่นใบรูปป้อม รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน
ขนาดกว้าง 4 -8 เซนติเมตร
ยาว 7-15 เซนติเมตร
ปลายใบแหลม โคนมน ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อ
ตามซอกใบ หรือตามกิ่ง ยาว 20 - 45 เซนติเมตร
ผลเป็นฝักทรงกระบอก ยาว 20-60 เซนติเมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร
แบบขนนกปลายคู่เรียงสลับ มีใบย่อย 3 - 8 คู่ แผ่นใบรูปป้อม รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน
ขนาดกว้าง 4 -
ปลายใบแหลม โคนมน ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อ
ตามซอกใบ หรือตามกิ่ง ยาว 20 - 45 เซนติเมตร
ผลเป็นฝักทรงกระบอก ยาว 20-60 เซนติเมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร
สรรพคุณ : รากฝนทาแก้กลาก
เป็นยาระบาย รากและแก่นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง
และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย
เนื้อไม้สีแดงแกมเหลือง ทนทาน ใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก
แก้ขัดข้อ ที่ภาคตัวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย นิยมนำแก่นคูน มากินกับหมาก พลู
เนื้อไม้สีแดงแกมเหลือง ทนทาน ใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก
แก้ขัดข้อ ที่ภาคตัวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย นิยมนำแก่นคูน มากินกับหมาก พลู
ข้อมูลอ้างอิง
: https://sites.google.com/site/reiynruswnphvkssastr/tn-rachphvks-tn-khun/l-ksna-thang-phvkssastr
ภาพประกอบ



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น